ภาษีนำเข้าส่งออก …มีธุรกิจหลายประเภททั้งขายสินค้าและบริการ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออกวัตถุดิบ อุปกรณ์ หรือสินค้าของธุรกิจนั้นๆ ซึ่งเมื่อต้องมีการนำเข้าหรือส่งออกเกิดขึ้น กิจการมีหน้าที่ต้องเสีย ภาษีนำเข้าส่งออก ด้วย โดยจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย
1.ภาษีศุลกากร
2.ภาษีสรรพสามิต
3.ภาษีสรรพากร
ทั้งนี้ ในการนำเข้าหรือส่งออกวัตถุดิบและสินค้าเพื่อจำหน่าย จะต้องเสีย ภาษีนำเข้าส่งออก ให้ครบทุกหน่วยงาน ซึ่งแยกความรับผิดชอบ ภาษีนำเข้าส่งออก ต่างกัน ดังนี้
ภาษีศุลกากร
ภาษีศุลกากร (Customs Duty) หรือ อากร เป็นการจัดเก็บภาษีนำเข้าส่งออกจากสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ และส่งออกไปต่างประเทศ โดยหน้าที่จัดเก็บเป็นของกรมศุลกากร ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
– อากรขาเข้า เป็นการเก็บภาษีจากสินค้าอุปโภคหรือบริโภคในประเทศ โดยคำนวณค่าภาษีตามพิกัดของอัตราศุลกากร ราคาสินค้า และสภาพสินค้าที่อยู่ในความรับผิดชอบที่ต้องเสียภาษี ซึ่งอัตราภาษีอากรนำเข้าจะแตกต่างกันตามชนิดและประเภทสินค้า เช่น
– 30% สำหรับสินค้าประเภท เครื่องสำอาง หมวก น้ำหอม รองเท้า ผ้าห่ม ร่ม
– 20% สำหรับสินค้าประเภท กระเป๋า
– 10% สำหรับสินค้าประเภท CD DVD อัลบั้ม Power Bank หูฟัง Headphone Earphones ตุ๊กตา
– 5% สำหรับสินค้าประเภท นาฬิกา แว่นตา แว่นกันแดด
– สินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษี แต่เสีย VAT 7% ได้แก่ นิตยสาร Photobook คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ เมาส์
ทั้งนี้ จะจัดเก็บภาษีเมื่อมีการนำสินค้าเข้ามาในไทยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อย่างเช่นการนำเข้าสินค้าโดยใช้บริการขนส่ง หากมูลค่าของสินค้ารวมกับค่าขนส่งและค่าประกันภัยเกิน 1,500 บาท จะต้องเสียภาษีอากร ส่วนกรณีที่นำเข้ามาด้วยตนเองเมื่อเดินทางกลับเข้าประเทศไทย สินค้าที่ต้องเสียภาษีนำเข้าประกอบด้วย
1) ของใช้ส่วนตัวที่มีมูลค่ารวมทั้งหมดเกิน 20,000 บาท ไม่ว่าจะเพื่อใช้เองหรือไม่ได้ใช้เองก็ตาม แต่ถ้าเป็นสิ่งของที่นำไปจากประเทศไทย จะไม่ถูกนำมาคิดมูลค่าหากมีการสำแดงไว้ก่อนเดินทางไป
2) สิ่งของที่มีลักษณะทางการค้า แม้จะมีมูลค่าต่ำกว่า 20,000 บาท
3) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินกว่า 1 ลิตร
4) บุหรี่เกินกว่า 200 มวน
5) ซิการ์หรือยาเส้นเกินกว่า 250 กรัม
6) ของต้องกำกัด คือ ของที่ต้องมีใบอนุญาต เช่น ยาและอาหารเสริม เครื่องสำอาง สัตว์เลี้ยง อาวุธปืน พืช อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดรน
– อากรขาออก เป็นการเสียภาษีหรือจ่ายค่าธรรมเนียมก่อนนำสินค้าออกนอกประเทศ โดยเป็นหน้าที่ของกรมศุลกากรในการจัดเก็บภาษีขาออก ซึ่งหากมีสินค้า 9 ประเภทนี้ไม่ว่าจะเป็นส่งออกทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ จะต้องเสียค่าภาษีส่งออก ได้แก่ ข้าว เศษโลหะ หนังโคและหนังกระบือ ไม้ (ไม้แปรรูปทุกชนิด) เส้นไหมดิบที่ไม่ได้ตีเกลี่ยว เส้นด้ายที่ทำด้วยไหม ปลาป่นหรือปลาอบแห้งที่ยังไม่ได้ป่น ของที่ส่งออกจากพื้นที่ที่พัฒนาร่วมตามกฎหมาย และของที่ยังไม่ได้ระบุหรือรวมไว้ในประเภทอื่นใดในพิกัดอัตราอากรขาออก
ภาษีสรรพสามิต
ภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีนำเข้าส่งออกที่จัดเก็บจากสินค้าและบริการบางประเภท เช่น สินค้าและบริการที่มีลักษณะฟุ่มเฟือย สินค้าที่ได้รับผลประโยชน์พิเศษจากภาครัฐ สินค้าที่บริโภคแล้วมีผลเสียต่อสุขภาพ สินค้าที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นสินค้าที่ก่อให้เกิดภาระต่อรัฐบาลในการที่จะต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อให้บริการแก่ผู้บริโภค เช่น เครื่องดื่ม น้ำมัน รถยนต์ พรมและสิ่งทอปูพื้นอื่น (เฉพาะที่ทำด้วยขนสัตว์) น้ำหอมรถจักรยานยนต์ แบตเตอรี่ สุรายาสูบและไพ่ โดยกรมศุลกากรเป็นผู้จัดเก็บแทนกรมสรรพสามิต
นอกจากนี้ยังมีภาษีเพื่อมหาดไทย เป็นภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บเพิ่มขึ้น เพื่อนำไปจัดสรรให้กับกรุงเทพมหานคร ราชการส่วนท้องถิ่นและกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรเงินภาษีสุรา โดยสินค้าที่ต้องชำระภาษีสรรพสามิตและภาษีเพื่อมหาดไทย เช่น น้ำหอม สุรา ยาสูบ ไพ่ แบตเตอรี่ จะต้องชำระเมื่อมีการเสียภาษีสรรพาสามิต
ภาษีสรรพากร
ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นภาษีสำหรับธุรกิจขายสินค้าและบริการที่จดทะเบียนนิติบุคคล หากมีการนำเข้าและส่งออกไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ อุปกรณ์ หรือสินค้าเพื่อจำหน่าย รายได้จากการประกอบธุรกิจจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งคำนวณภาษีจากกำไรสุทธิ ยกเว้น 300,000 บาท แรก และอัตราภาษีสูงสุด 20% โดยยื่นภาษี 2 ช่วง คือ
– ภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) สำหรับรอบครึ่งปี โดยต้องยื่นและชำระภาษีภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของ 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี
– ภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด.50) สำหรับรอบสิ้นปี โดยต้องยื่นแบบและชำระภาษีภายใน 150 วันนับจากวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นภาษีนำเข้าส่งออกที่จะถูกเก็บ ณ วันที่ทำเรื่องผ่านศุลกากร โดยกรมศุลกากรมีหน้าที่เรียกเก็บแทนกรมสรรพากร 7% เมื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและได้รับใบกำกับภาษีมาแล้ว กิจการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสามารถนำไปใช้เป็นภาษีซื้อได้
หรือธุรกิจบางประเภทก็ได้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มนำเข้า อย่างเช่นการนำเข้าอัญมณี เครื่องประดับ (อ่านเพิ่มเพิ่มได้จากบทความ “ภาษีมูลค่าเพิ่มอัญมณี นำเข้ามาขายแบบไหนไม่เสีย VAT”)
สรุป… วิธีการคำนวณภาษีนำเข้า
สัดส่วนการนำเข้าสินค้าเพื่อจำหน่ายในประเทศไทยถือว่ามีไม่น้อย ดังนั้น จะขออธิบายหลักการคำนวณภาษีนำเข้า ซึ่งสามารถยกตัวอย่างได้ดังนี้
1.นำเข้าโดยกิจการนำเข้ามาเอง
1.อากรขาเข้า = ราคาสินค้า x อัตราภาษีขาเข้า
2.ภาษีมูลค่าเพิ่ม = (ราคาสินค้า + อากรขาเข้า) x อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
3.ภาษีทั้งหมดที่ต้องชำระ = อากรขาเข้า + ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตัวอย่างเช่น กรณีซื้อกระเป๋า มูลค่ารวม 40,000 บาท จากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศไทย สามารถนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีนำเข้าได้ดังนี้
1.อาการขาเข้า (8,000) = ราคาสินค้า 40,000 x อัตราภาษีขาเข้ากระเป๋า (20%)
2.ภาษีมูลค่าเพิ่ม (3,360) = (ราคาสินค้า 40,000 + อาการขาเข้า 8,000) x ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
3.รวมภาษีทั้งหมดที่ต้องชำระ คือ อากรขาเข้า 8,000 + ภาษีมูลค่าเพิ่ม 3,360 = 11,360 บาท
2.นำเข้าโดยใช้บริการขนส่ง
วิธีคำนวณภาษีนำเข้าแบบ CIF ราคาที่ใช้คิดภาษีนำเข้า คือ CIF ซึ่งประกอบด้วย C = ราคาสินค้า I = ประกันภัย และ F = ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
โดยมีสูตรการคิดภาษีนำเข้าสินค้า คือ
ภาษีนำเข้า = CIF x อัตราภาษีนำเข้า (พิกัดภาษีศุลกากร)
ภาษีมูลค่าเพิ่ม = (CIF + ภาษีนำเข้า) x 7%
ดังนั้น กิจการที่ขายสินค้าและบริการ ที่จำเป็นต้องมีการนำเข้าหรือส่งออกสินค้า จะต้องเสียภาษีนำเข้าส่งออกให้ครบทุกหน่วยงานตามที่กฎหมายกำหนดไว้ หากไม่เสียภาษีส่วนใดส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะภาษีที่ต้องยื่นแก่สรรพากร ต้องระวัง! สรรพากรตรวจสอบพบ การประกอบธุรกิจขอบคุณอาจไม่ราบรื่นอีกต่อไป