เมื่อใดที่กิจการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จำเป็นต้องยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) พร้อมกับแนบเอกสารที่ขาดไม่ได้คือ รายงานภาษีซื้อภาษีขาย และถ้าหากมีภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ จะต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
ทั้งนี้ วิธีการทำรายงานภาษีซื้อภาษีขาย สามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ ด้วยการรวบรวมเก็บเอกสาร ใบกำกับภาษีซื้อตัวจริง และสำเนาใบกำกับภาษีขายในแต่ละเดือน นำมาทำรายงานภาษีซื้อภาษีขาย ส่งพร้อมกับเอกสาร ภ.พ.30 แก่สรรพากรภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน
รายงานภาษีซื้อภาษีขาย คืออะไร
รายงานภาษีซื้อภาษีขาย คือรายละเอียดภาษีซื้อและภาษีขายที่เกิดขึ้นในรอบเดือนนั้น ทำรายงานเพื่อส่งคู่กับเอกสาร ภ.พ.30 ซึ่งผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม นอกจากจะมีหน้าที่เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อหรือผู้รับบริการและออกใบกำกับภาษีแล้ว ยังต้องจัดทำรายงานภาษีซื้อภาษีขายด้วย ซึ่งสามารถอธิบายแยกย่อยได้ดังนี้
1.รายงานภาษีซื้อ เป็นรายงานที่กิจการจัดทำขึ้นเพื่อบันทึกรายละเอียดรายการภาษีซื้อ แสดงมูลค่าสินค้าหรือบริการและภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการจดทะเบียนอื่น โดยรายงานภาษีซื้อต้องมีรายการและข้อความตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด
ภาษีซื้อที่เกิดขึ้นในเดือนใดให้บันทึกเป็นรายการภาษีซื้อในเดือนนั้น โดยพิจารณาจากวันที่ที่ปรากฏในใบกำกับภาษีที่ได้รับจากผู้ประกอบกิจการจดทะเบียนอื่น แต่ถ้าหากภาษีซื้อที่เกิดขึ้นในเดือนนั้นๆ ไม่ได้นำไปลงในรายงานภาษีของเดือนนั้น เนื่องจากมีเหตุจำเป็นตามที่อธิบดีกำหนด ให้มีสิทธิ์นำไปลงรายงานภาษีซื้อของเดือนหลังจากนั้นได้ แต่ต้องไม่เกิน 6 เดือน นับแต่เดือนถัดจากเดือนที่ออกใบกำกับภาษี
2.รายงานภาษีขาย เป็นรายงานที่กิจการจัดทำขึ้นเพื่อบันทึกรายละเอียดรายการภาษีขาย แสดงมูลค่าสินค้าหรือบริการและภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ผู้ประกอบกิจการจดทะเบียนได้ออกใบกำกับภาษีจากการขายสินค้าหรือให้บริการ โดยรายงานภาษีขายต้องมีรายการและข้อความตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด
ภาษีขายที่เกิดขึ้นในเดือนใดกิจการต้องบันทึกรายการตามหลักฐานสำเนาใบกำกับภาษีขายที่ออกให้ลูกค้าในเดือนนั้น โดยพิจารณาจากวันที่ที่ปรากฏในสำเนาใบกำกับภาษีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนออกให้แก่ลูกค้า
ทั้งนี้ แบบของรายงานภาษีขายมีลักษณะคล้ายบัญชีแยกประเภทร้านจากการประกอบกิจการตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี และมีช่อง “จำนวนเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม” เพิ่มขึ้นมา
รายการที่ลงใน รายงานภาษีซื้อภาษีขาย มาจากไหนได้บ้าง
การลงบันทึกรายงานภาษีซื้อภาษีขาย ที่ใช้ประโยชน์ทางภาษีได้ จะต้องมาจากใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปแบบตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยการลงรายละเอียดในรายงานภาษีซื้อภาษีขายต้องเป็นภาษีซื้อและภาษีขายที่เกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุต่อไปนี้
1.รายงานภาษีซื้อ จะสามารถลงรายงานภาษีซื้อได้เฉพาะรายการซื้อที่มีหลักฐานใบกำกับภาษี หรือใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ หรือใบเสร็จรับเงินอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งลงรายการเพิ่มและลดยอดภาษีซื้อที่เกิดขึ้นเนื่องจาก
ลงรายการเพิ่มภาษีซื้อที่เกิดขึ้นเนื่องจาก
– การซื้อหรือการนำเข้าซึ่งสินค้าหรือวัตถุดิบ
– การซื้อ หรือเช่าซื้อ หรือนำเข้าซึ่งทรัพย์สิน
– การรับฝากขายสินค้า
– การรับบริการหรือการจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ
– การเพิ่มราคาสินค้าหรือบริการ
– ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนนำส่งตามแบบแสดงรายการ ภ.พ.36 เนื่องจากจ่ายบริการที่ได้ให้บริการในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในประเทศไทย หรือรับโอนสินค้าหรือการที่เคยได้สิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0
ลงรายการเพื่อลดภาษีซื้อให้ลดลงที่เกิดขึ้นเนื่องจาก
– การส่งคืนสินค้าหรือยกเลิกสัญญาการให้บริการ
– การลดราคาสินค้าหรือค่าบริการที่ผิดข้อกำหนดที่ตกลงกัน
2.รายการภาษีขาย จะต้องนำไปลงรายงานภาษีขายในเดือนที่มีรายการเกิดขึ้น เพิ่มสูงหรือลดลงที่เกิดขึ้นเนื่องจาก…
ลงรายการเพิ่มภาษีขายเกิดขึ้นเนื่องจาก
– การขายสินค้าหรือให้บริการในประเทศไทย (กรณีการส่งออกภาษีขาย = 0)
– การให้เช่าซื้อ
– การส่งมอบสินค้าให้ตัวแทนเพื่อขาย (ฝากขาย)
– การนำสินค้าหรือบริการไปใช้เพื่อการอื่นใด ที่ไม่ใช่เพื่อการประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
– หนี้สูญที่ได้รับคืน
– มีสินค้าขาดจากรายงานสินค้าและวัตถุดิบ
– มีสินค้าคงเหลือและหรือทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการ ณ วันเลิกกิจการ แต่ไม่รวมถึงสินค้าคงเหลือ และทรัพย์สินของผู้ประกอบการที่ได้ควบรวมเข้าด้วยกัน หรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน
การลงรายการลดภาษีขายเกิดขึ้นเนื่องจาก
– การรับคืนสินค้าที่ชำรุดบกพร่อง ไม่ตรงตามตัวอย่างหรือที่เสนอขาย
– การลดราคาสินค้าหรือค่าบริการซึ่งผิดข้อกำหนดที่ตกลงกัน
– หนี้สูญที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย
รายละเอียดในรายงานภาษีซื้อภาษีขายต้องมีอะไรบ้าง
รูปแบบของรายงานภาษีซื้อภาษีขายที่สรรพากรกำหนด ต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบดังต่อไปนี้
1.รายงานภาษีซื้อ จำเป็นต้องมีรายละเอียดในรายงานดังนี้
– ชื่อที่แสดงว่าเป็นรายงานภาษีซื้อ
– เดือนภาษีและปีภาษี
– ชื่อสถานประกอบการ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษี
– ที่อยู่ของสถานประกอบการตามที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
– สำนักงานใหญ่หรือสาขาที่ยื่นรายงานภาษีซื้อ
– รายละเอียดของใบกำกับภาษีซื้อที่เกิดขึ้นในเดือนภาษีนั้น ได้แก่ วัน-เดือน-ปี เลขที่ใบกำกับภาษี ชื่อผู้ขายสินค้า/ผู้ให้บริการ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ขายสินค้า/ผู้ให้บริการ สำนักงานใหญ่/สาขาของผู้ขายสินค้าหรือให้บริการ มูลค่าสินค้า/บริการ และจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม
2.รายงานภาษีขาย จำเป็นต้องมีรายละเอียดในรายงานดังนี้
– ชื่อที่แสดงว่าเป็นรายงานภาษีขาย
– เดือนภาษีและปีภาษี
– ชื่อสถานประกอบการ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษี
– ที่อยู่ของสถานประกอบการตามที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
– สำนักงานใหญ่หรือสาขาที่ยื่นรายงานภาษีขาย
– รายละเอียดของใบกำกับภาษีขายที่เกิดขึ้นในเดือนภาษีนั้น ได้แก่ วัน-เดือน-ปี เลขที่ใบกำกับภาษี ชื่อผู้ซื้อสินค้า/ผู้รับบริการ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ซื้อสินค้า/ผู้รับบริการ สำนักงานใหญ่/สาขาของผู้ขายสินค้าหรือผู้รับบริการ มูลค่าสินค้า/บริการ และจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม
และเมื่อครบกำหนดที่ต้องยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้กิจการรวบรวมรายงานภาษีซื้อภาษีขาย พร้อมใบกำกับภาษีทั้งในส่วนของภาษีซื้อและภาษีขายแยกไว้เป็น 2 ส่วน จากนั้นสามารถคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มและยื่นแบบ ภ.พ.30 พร้อมแนบรายงานภาษีซื้อภาษีขายเองได้
แต่ถ้าหากไม่มั่นใจว่าภาษีซื้อภาษีขายแบบไหนใช้ได้บ้าง อาจจะส่งให้สำนักงานบัญชีจัดการบัญชีให้ได้เช่นกัน เพื่อให้รายงานภาษีซื้อภาษีขายเป็นไปอย่างถูกต้องที่สุด