ทันตแพทย์หรือผู้ที่เปิดคลินิกทันตกรรม หากเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะคำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิ โดย 150,000 บาท แรกได้รับการยกเว้นภาษี และสามารถลดหย่อนภาษีได้จากค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยผลประกอบการในส่วนของค่าบริการจัดอยู่เงินได้มาตรา 40(6) สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% ไม่มีเพดานลิมิต ไม่ต้องเก็บเอกสาร หรือเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริงถ้ามีค่าใช้จ่ายเยอะ แต่ต้องเก็บเอกสารให้ครบทุกใบ และทำรายงานรายรับรายจ่าย
ส่วนคลินิกทันตกรรมที่จดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคล จะคำนวณภาษีจากกำไรสุทธิประจำปี หากกำไรสุทธิธุรกิจ SME ไม่เกิน 300,000 บาท จะได้รับยกเว้นภาษี โดยมีหน้าที่ต้องทำบัญชี บันทึกค่าใช้จ่ายทุกอย่างตามจริง ซึ่งการบันทึกรายรับรายจ่าย การทำบัญชีของคลินิกทันตกรรมที่จดทะเบียนนิติบุคคล จะมีรายละเอียดข้อกำหนดกฎหมายมากกว่าบุคคลธรรมดา
โดยรายละเอียดการบันทึกรายรับรายจ่ายและการทำบัญชี สำหรับคลินิกทันตกรรมที่เสียภาษีบุคคลธรรมดา และแบบจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล สามารถอธิบายได้ดังนี้
วิธีบันทึกบัญชีรายได้ และค่าใช้จ่ายสำหรับคลินิกทันตกรรม
ตามหลักการแล้ว รายได้หรือรายรับสำหรับคลินิกทันตกรรมทั้งแบบบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ รายรับจากการให้บริการรักษาคนไข้ และรายรับจากการจำหน่ายอุปกรณ์ดูแลรักษาฟัน นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เจ้าของคลินิกจะต้องนำมาบันทึกรายรับรายจ่ายและทำบัญชี ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้
– รายได้หลัก คือรายรับจากการให้บริการรักษาฟันภายในคลินิกทันตกรรม เช่น ถอนฟัน อุดฟัน จัดฟัน ขูดหินปูน รักษารากฟัน
– รายได้เสริม คือรายรับจากการจำหน่ายอุปกรณ์ดูแลรักษาฟันต่างๆ เช่น ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ไหมขัดฟัน เข็มร้อยไหมขัดฟัน
– ค่าใช้จ่าย คือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับกิจการโดยตรง และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ เช่น ค่าจ้างทันตแพทย์ประจำ ทันตแพทย์ Part-time เงินเดือน ค่าจ้าง สวัสดิการ ค่าเช่า ค่าซ่อมแซม บำรุงรักษา ค่าใช้จ่ายในด้านการตลาด ค่าส่งเสริมการขาย ค่าประกันภัย ค่าเสื่อมราคาทรัพย์สิน ดอกเบี้ยจ่าย ค่าที่ปรึกษา ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าขนส่ง
โดยทั้งหมดนี้หากคลินิกทันตกรรมเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่จำเป็นต้องทำบันทึกรายรับรายจ่าย แต่ถ้าเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริง จะต้องเก็บเอกสาร ใบเสร็จต่างๆ ไว้ให้ครบถ้วนและลงบันทึกรายรับรายจ่ายทุกครั้ง เพื่อให้เป็นหลักฐานเมื่อยื่นภาษี
วิธีจัดการเอกสารบัญชีคลินิกทันตกรรม หลังจดทะเบียนบริษัท
สำหรับคลินิกทันตกรรมที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล กฎหมายกำหนดว่าต้องจัดทำบัญชีจากนักบัญชี และตรวจสอบบัญชีจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต รวมถึงส่งรายงานการเงินและภาษีให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามเวลากำหนด โดยเอกสารต่างๆ ให้จัดเก็บตามหมวดหมู่ดังนี้
1.หมวด “ข้อมูลกิจการ” เก็บไว้แฟ้มเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วย
– หนังสือรับรองการจดทะเบียน และเอกสารการจดทะเบียนบริษัท
– งบการเงินของปีก่อน
– ภ.ง.ด.50 / ภ.ง.ด.51 ของปีก่อน
– ภ.พ.01 , ภ.พ.09 , ภ.พ.20
– สัญญาต่างๆ
2.หมวด “เอกสารขาย” เก็บไว้แฟ้มเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วย
– ใบสำคัญรับเงิน receipt voucher
– สำเนาใบเสร็จรับเงิน
– สำเนาใบแจ้งหนี้ / ใบส่งของ / ใบกำกับภาษีขาย
– สำเนาใบลดหนี้ขาย กรณีราคาผิด คืนสินค้า
– หลักฐานการรับชำระเงิน สำเนาเช็ครับ สลิปการโอน
– ธุรกิจบริการ สำเนาหนังสือหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ)
– อื่นๆ เช่น ใบสั่งซื้อ (ถ้ามี)
3.หมวด “เอกสารซื้อ” เก็บไว้แฟ้มเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วย
– ใบสำคัญจ่าย มีลายเซ็นผู้รับเงิน
– ใบแจ้งหนี้ / ใบส่งของ / สำเนาใบกำกับภาษี
– ต้นฉบับใบเสร็จรับเงิน
– หลักฐานการจ่ายเงิน สลิปโอนเงิน สำเนาเช็ค
– หนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย (50ทวิ)
– สำเนาบัตรประชาชน (กรณีจ้างบุคคล)
– ใบรับเงินหรือใบแทนใบเสร็จรับเงิน (กรณีผู้ขายไม่ออกใบเสร็จรับเงิน)
– อื่นๆ เช่น ใบสั่งซื้อ หนังสือจัดจ้าง (ถ้ามี)
4.หมวด “ภาษีขาย” เก็บไว้แฟ้มเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วย
– สำเนาใบกำกับภาษีขาย
– รายงานภาษีขาย
5.หมวด “ภาษีซื้อ” เก็บไว้แฟ้มเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วย
– ต้นฉบับใบกำกับภาษีซื้อ
– รายงานภาษีซื้อ
5.หมวด “ภาษีถูกหัก ณ ที่จ่าย” สำหรับคลินิกทันตกรรม เมื่อมีผู้เข้ารับบริการในคลินิกของตนเองโดยใช้สิทธิ์ประกันสังคม ทางคลินิกจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ประกันสังคมจะจ่ายค่าบริการให้แก่คลินิก พร้อมให้ต้นฉบับกับสำเนาหนังสือภาษีหัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) เอกสารที่เก็บไว้แฟ้มเดียวกัน ประกอบด้วย
– ต้นฉบับเก็บแฟ้มภาษีหัก ณ ที่จ่าย
– สำเนาชุดใบสำคัญรับชำระหนี้
6.หมวด “งานภาษี (Tax File)” เก็บไว้แฟ้มเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วย
– ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เช่น ภ.ง.ด.1 ภ.ง.ด.3 ภ.ง.ด.53
– สำหรับคลินิกทันตกรรมที่จดทะเบียน VAT ต้องเก็บ ภ.พ.30
– รายงานภาษีซื้อและรายงานภาษีขาย ภ.ง.ด.50 และ ภ.ง.ด.51 ของปีปัจจุบัน
– ประกันสังคมและกองทุนทดแทนต่างๆ
7.หมวด “เงินเดือนและประกันสังคม” เก็บไว้แฟ้มเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วย
– แบบยื่นภาษี ภ.ง.ด.1
– แบบนำส่งเงินสมทบประกันสังคม (สปส.1-10)
– ตารางสรุปการจ่ายเงินเดือน
8.หมวด “ทะเบียนสินทรัพย์” สินทรัพย์จะต้องมีอายุการใช้งานเกิน 1 ปี และมีมูลค่าขั้นต่ำ 1,000 บาทขึ้นไป หรือตามนโยบายของคลินิก เอกสารที่เก็บไว้แฟ้มเดียวกัน ประกอบด้วย
– เอกสารการซื้อ ใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษี
– ทะเบียนทรัพย์สิน
ระยะเวลาการเก็บเอกสารบัญชีภาษี
หลังจากทำบัญชีและภาษีแล้ว กฎหมายได้กำหนดให้เจ้าของคลินิกทันตกรรมต้องเก็บเอกสารไว้ก่อน โดยระยะเวลาการเก็บรักษาเอกสารแต่ละประเภทแตกต่างกันดังนี้
1.ระยะเวลาการเก็บรักษาเอกสารบัญชี
ระยะเวลาการเก็บเอกสารบัญชี ตามกฎหมายไม่ว่าจะเป็นในส่วนของกรมสรรพากรและกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จะต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันปิดบัญชีหรือจนกว่าจะมีการส่งมอบบัญชี และเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ
แต่อธิบดีสามารถขอขยายระยะเวลาเก็บเพิ่มอีกไม่เกิน 2 ปี รวมเป็นทั้งหมด 7 ปี ในกรณีที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ดังนั้น ควรเก็บรักษาเอกสารทางบัญชีไว้ 5-7 ปี
2.ระยะเวลาการเก็บรักษาเอกสารภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
เจ้าของคลินิกทันตกรรมที่จดทะเบียน VAT มีหน้าที่ต้องเก็บและรักษารายงานเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ใบกำกับภาษี และสำเนาใบกำกับภาษี พร้อมทั้งเอกสารประกอบการรายงาน หรือเอกสารอื่นที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดไว้ ณ สถานประกอบการ หรือสถานที่อื่นที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือวันทำรายงาน
ในบางกรณีอธิบดีกรมสรรพากรจะกำหนดให้เก็บและรักษาไว้เกิน 5 ปีได้ แต่ต้องไม่เกิน 7 ปี ด้วยเหตุนี้ เจ้าของคลินิกทันตกรรมจึงมีนหน้าที่จะต้องเก็บและรักษารายงานเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ใบกำกับภาษี และสำเนาใบกำกับภาษี พร้อมทั้งเอกสารประกอบการรายงานไว้ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่ไม่เกิน 7 ปี
แต่เจ้าหน้าที่ประเมินมีอำนาจออกหมายเรียกหรือประเมินภาษีได้ภายใน 10 ปี ซึ่งถ้าหากเจ้าหน้าที่ประเมินออกหมายเรียก หรือมีการเรียกเก็บภาษีจากเจ้าของคลินิกทันตกรรม ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการ หรือผู้มีหน้าที่นำส่งภาษี จะต้องมีเอกสารเกี่ยวกับการประกอบกิจการเพื่อให้เจ้าหน้าที่ประเมินตรวจสอบในกรณีที่ถูกหมายเรียกดังกล่าว ดังนั้น ควรเก็บรักษาเอกสารทางภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ 10 ปี
สรุป
คลินิกทันตกรรมที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเมื่อมีผลประกอบการสูงหลายล้าน และเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริงเพราะมีค่าใช้จ่ายสูง อาจต้องหันมาให้ความสำคัญในเรื่องการจดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคล เพื่อให้ประหยัดภาษีมากกว่า และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการทำบันทึกรายรับรายจ่าย และการจัดการเอกสารบัญชีภาษีเอง