เขียนโปรแกรมบัญชี …ทำธุรกิจก็เหมือนเล่มเกม หากเล่นเกมแล้วอยากชนะ ก็ต้องเข้าใจและทำตามกติกาก่อน ไม่เช่นนั้นแรกๆ จะรู้สึกดีเหมือนชนะ แต่ในตอนท้ายอาจโดนจับแพ้ฟาวล์แบบไม่ทันตั้งตัวก็ได้
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมเมื่อลงสนามแล้ว หรือทำธุรกิจมีการจัดตั้งบริษัทจดทะเบียนนิติบุคคล อย่าลืมทำตามกฎกติกา อย่างเช่นการทำธุรกิจหลังจากจดบริษัทจะต้องมีการจัดทำบัญชี ภาษี เพื่อส่งให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ไม่เว้นแม้แต่ “อาชีพรับเขียนโปรแกรม แม้ว่าจะ เขียนโปรแกรมบัญชี เองได้ ก็ยังต้องมีการทำบัญชีตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดอยู่ดี โดยอาจจัดทำบัญชีเอง หรือจ้างสำนักงานบัญชีให้ทำบัญชีให้ได้” แต่ก็ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดต่างๆ ดังจะอธิบายต่อจากนี้ไป
คุณสมบัติของผู้ทำบัญชีตามกฎหมายกำหนด
หากธุรกิจรับเขียนโปรแกรม มีการเขียนโปรแกรมบัญชีเองอยู่แล้ว ดังนั้น อาจจ้างสำนักงานบัญชีทำบัญชีให้ หรือเลือกทำบัญชีเองได้ หากมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
1.ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน บริษัทจำกัด ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวมและรายได้รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท ผู้ทำบัญชีต้องมีวุฒิการศึกษาขั้นต่ำระดับ ปวส.ทางการบัญชี ปริญญาตรีทางการบัญชีขึ้นไป
2.ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน บริษัทจำกัด ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ที่มีทุนจดทะเบียนเกิน 5 ล้านบาท หรือมีสินทรัพย์รวม หรือรายได้รวมเกิน 30 ล้านบาท ผู้ทำบัญชีต้องมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีทางการบัญชีขึ้นไป
3.บริษัทมหาชน ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ผู้ทำบัญชีต้องมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีทางการบัญชีขึ้นไป
4.นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศประกอบธุรกิจในไทย ผู้ทำบัญชีต้องมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีทางการบัญชีขึ้นไป
5.กิจการร่วมค้า ผู้ทำบัญชีต้องมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีทางการบัญชีขึ้นไป
รายรับ-รายจ่าย (ต้นทุน) ที่ใช้ประกอบการบันทึกบัญชีธุรกิจรับเขียนโปรแกรม
ธุรกิจรับเขียนโปรแกรมมีรูปแบบการเขียนโปรแกรมหรือพัฒนาซอฟต์แวร์อยู่ 2 แบบ คือ 1) การเขียนโปรแกรมเพื่อขายให้กับลูกค้ารายใดรายหนึ่ง ไม่สามารถนำไปขายให้กับรายอื่นได้ และ 2) การเขียนโปรแกรมเพื่อขายให้กับลูกค้าทั่วไป สามารถขายได้ตลอด
ดังนั้น หากเจ้าของธุรกิจรับเขียนโปรแกรมมีความต้องการอยากทำบัญชีเอง เนื่องจากเขียนโปรแกรมบัญชีเองได้ และมีคุณสมบัติตรงตามที่กฎหมายกำหนด จำเป็นต้องรู้จักรูปแบบการเขียนโปรแกรมเพื่อประกอบการบันทึกรายงาน และรับรู้รายรับ-รายจ่าย (ต้นทุน) เพื่อนำมาบันทึกบัญชีได้อย่างถูกต้อง ซึ่งหลักๆ จะประกอบด้วย
1.รายจ่าย (ต้นทุน) ของธุรกิจรับเขียนโปรแกรม
– ต้นทุนค่าจ้างโปรแกรมเมอร์ที่เป็นเงินเดือนประจำ
– ต้นทุนจากกรณีจ้างโปรแกรมเมอร์ที่เป็น Outsource จ่ายเป็นครั้งคราว
– ต้นทุนค่า License โปรแกรม สำหรับทำงานเขียนโปรแกรม เครื่องมือในการเขียนโปรแกรม ซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่ต้องใช้ในการเขียนโปรแกรม
– ค่าเช่า Cloud Server
– ค่าอินเตอร์เน็ตเพื่อใช้ในการทำงาน หรือการเข้า Cloud ต่างๆ
– ค่าเสื่อมราคา อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก สำหรับใช้เขียนโปรแกรม
ทั้งนี้ ต้นทุนที่เกิดขึ้นในระหว่างการเขียนโปรแกรมจนกว่าจะทำเสร็จพร้อมขาย นักบัญชีจะต้องบันทึกบัญชีไว้เป็น “ค่าโปรแกรมระหว่างการเขียนพัฒนาโปรแกรม” เพื่อไว้เป็นทรัพย์สินในการตัดเป็นต้นทุนรับรู้ในอนาคต ตอนที่เริ่มมีรายได้เกิดขึ้น
2.รายรับจากการประกอบธุรกิจรับเขียนโปรแกรม
รายได้ของธุรกิจรับเขียนโปรแกรมที่เขียนโปรแกรมบัญชีเอง กรณีที่ขายให้กับลูกค้ารายใดรายหนึ่ง ไม่สามารถนำไปขายทั่วไปได้ อาจจะมีการรับเงินเป็นงวดๆ การรับรู้รายได้ในลักษณะนี้ ให้รับรู้ตามงวดงาน โดยต้องคำนวณเปอร์เซ็นต์การทำงานกับเปอร์เซ็นต์การรับเงิน หากรับเงินลูกค้ามากกว่าเนื้องานที่กำลังทำ ให้รับรู้เป็นรายได้รับล่วงหน้าไว้ก่อน
แต่ถ้าหากเป็นโปรแกรมที่พัฒนาแล้วขายให้กับลูกค้าทั่วไป จะแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
2.1 ขายโปรแกรมซอฟต์แวร์พร้อมกับดำเนินการให้ด้วย ลักษณะนี้จะมีการรับเงินเป็นงวดๆ ให้รับรู้รายได้ตามงวดงานเช่นเดียวกับขายโปรแกรมให้กับลูกค้ารายใดรายหนึ่ง คือ ถ้ารับเงินมากกว่าปริมาณงานที่เสร็จ ก็รับรู้ส่วนต่างเป็นรับรู้ล่วงหน้าไว้ก่อน แล้วค่อยทยอยตัดตามเนื้องานที่ทำส่งมอบให้ลูกค้าไป
2.2 ขายโปรแกรมซอฟต์แวร์แบบขายขาดให้ลูกค้า ลักษณะนี้จะได้ชำระเงินเมื่อส่งมอบโปรแกรมให้ลูกค้า จึงสามารถรับรู้รายได้ได้ทันที
สรุป… ทำบัญชีเองได้ แต่ “ตรวจสอบบัญชี” เองไม่ได้
เมื่อมาถึงบรรทัดนี้ สามารถสรุปได้ว่า กิจการรับเขียนโปรแกรมของคุณ เมื่อสามารถเขียนโปรแกรมบัญชีเองได้ ควรทำบัญชีเอง หรือส่งให้สำนักงานบัญชีทำให้จะดีกว่า ดังนี้
– กรณีกิจการมีพนักงานที่จบด้านบัญชี และมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์กำหนด สามารถทำบัญชีเบื้องต้นเองได้ จากนั้นจ้างผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเพื่อตรวจสอบ ออกรายงานผู้สอบบัญชี และยื่นงบการเงินรวมถึงภาษีประจำปีให้
– กรณีที่กิจการไม่มีนักบัญชี กิจการสามารถทำรายรับรายจ่ายต่างๆ เบื้องต้นลงสมุด หรือบันทึกลงโปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปที่กิจการเขียนโปรแกรมบัญชีขึ้นมา พร้อมกับเก็บเอกสารให้ครบทุกใบ จากนั้นจ้างสำนักงานบัญชีที่รับทำบัญชี ลงรายการบัญชีตามหลักการบัญชีให้ได้
พร้อมกับผ่านการตรวจสอบบัญชี จากผู้สอบบัญชีที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการตรวจสอบให้เท่านั้น กิจการไม่สามารถตรวจสอบบัญชีเองได้ ซึ่งหากใช้บริการสำนักงานบัญชีตรวจสอบบัญชีให้ สำนักงานบัญชีจะมีบริการจัดส่งข้อมูลแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ด้วยอยู่แล้ว
โดยผู้สอบบัญชีจะตรวจสอบงบการเงินและรับรองข้อมูล พร้อมแสดงความคิดเห็นต่องบการเงิน และส่งข้อมูลให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าภายใน 1 เดือนนับจากวันประชุมอนุมัติงบการเงิน และนำส่งภาษีแก่กรมสรรพากรภายใน 150 วัน นับจากวันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี