ผู้ที่สามารถประกอบธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศได้นั้น จะต้องยื่นขออนุญาตต่อกระทรวงการคลังผ่านทางธนาคารแห่งประเทศไทยให้เรียบร้อยก่อน จึงจะดำเนินธุรกิจการแลกเปลี่ยนเงินตราได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และต้องทำในนามนิติบุคคลเท่านั้น (สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบนิติบุคคลได้ที่นี่) พร้อมกับ การบันทึกบัญชีอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพื่อยื่นงบการเงินแก่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และภาษีแก่กรมสรรพากร
ทั้งนี้ เมื่อกิจการมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ จะต้องทำ การบันทึกบัญชีอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยผลแตกต่างของอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้น จากการแปลงค่าเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทย จะมีผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนในการรับรู้ว่าเป็นรายได้ หรือค่าใช้จ่ายของงวดบัญชีที่เกิดขึ้นในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี
ดังนั้น เมื่อสิ้นรอบบัญชีกิจการจะต้องแปลงค่าเงินตราต่างประเทศเป็นเงินตราไทย โดยเงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สิน ซึ่งมีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศที่รับมา หรือจ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชี ให้ใช้วิธีการคำนวณค่าหรือราคาเป็นเงินตราไทยตามราคาตลาดในวันที่รับมาหรือจ่ายไป กำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจะถูกบันทึกเป็นรายได้หรือรายจ่าย ไว้ในกำไรหรือขาดทุนในงวดบัญชีนั้น
โดยสามารถอธิบายรายละเอียดระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และหลักการแปลงค่าเป็นสกุลเงินที่ใช้นำเสนองบการเงินได้ดังนี้
ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
การบันทึกบัญชีอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ จะต้องอิงจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งระบบอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศมี 4 ระบบใหญ่ๆ คือ
1.ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ หรือระบบอัตราแลกเปลี่ยนตายตัว
ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ คือระบบมาตรฐานทองคำ และระบบมาตราปริวรรตทองคำ ซึ่งเป็นตัวกำหนดค่าของเงินตราสกุลต่างๆ โดยเทียบเคียงกับทองคำจำนวนหนึ่งที่แน่นอน ซึ่งปัจจุบันไม่มีประเทศใดใช้แล้ว
2.ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบยืดหยุ่น
เนื่องจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ยังคงมีข้อดีอยู่ โดยเฉพาะในเรื่องการมีเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น จึงมีการปรับปรุงให้เกิดระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ที่มีความยืดหยุ่น และสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศมากขึ้น
3.ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ
เป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ปล่อยให้อุปสงค์และอุปทานของเงินสกุลนั้นๆ ทำงานได้ระดับหนึ่ง โดยธนาคารกลางสามารถเข้าไปแทรกแซง เพื่อจำกัดขนาดและความผันผวนของการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนได้ ระบบนี้จึงเป็นที่นิยมและถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก
4.ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบเสรี
ระบบนี้จะถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานของเงินตราต่างประเทศในขณะนั้น อัตราแลกเปลี่ยนจึงสามารถขึ้นลงได้อย่างเสรี ไม่มีขอบเขตจำกัด โดยที่รัฐบาลไม่ได้เข้าแทรกแซง แต่ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาด
ทั้งนี้ ในปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลต่างๆ จะใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว โดยขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
ข้อกำหนดของมาตรฐานการบัญชีอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตรา
การบันทึกบัญชีอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ จำเป็นต้องมีขอบเขตของมาตรฐานการบัญชี ซึ่งให้ใช้กับการบัญชีสำหรับรายการที่เป็นเงินตราต่างประเทศและการแปลงค่างบการเงินของกิจการในต่างประเทศระบุไว้ว่า
1.ณ วันเกิดรายการค้า ให้แปลงค่าด้วย “อัตราแลกเปลี่ยนทันที” หรือ อัตราตลาด (อัตราแลกเปลี่ยนทันที คือ อัตราแลกเปลี่ยนสำหรับการส่งมอบทันที)
2.ณ วันที่มีการรับ/จ่ายชําระหนี้ในระหว่างปี ให้แปลงค่าด้วย “อัตราแลกเปลี่ยนทันที”
3.ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน
– รายการที่เป็นตัวเงินให้แปลงค่าด้วยอัตราปิด (อัตราปิด คืออัตราแลกเปลี่ยนทันที ณ วันสิ้นรอบระยะเวลารายงาน)
– รายการที่ไม่เป็นตัวเงิน ซึ่งบันทึกด้วยราคาทุนเดิม ให้แปลงค่าโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันเกิดรายการ
– รายการที่ไม่เป็นตัวเงิน ซึ่งบันทึกด้วยมูลค่ายุติธรรม ให้แปลงค่าโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่กำหนดมูลค่ายุติธรรมนั้น (มูลค่ายุติธรรม คือ จำนวนเงินที่ผู้ซื้อปละผู้ขายตกลงแลกเปลี่ยนสินทรัพย์หรือจ่ายชำระหนี้สิน ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายมีความรอบรู้และเต็มใจในการแลกเปลี่ยน และสามารถต่อรองราคากันได้อย่างเป็นอิสระในลักษณะของผู้ไม่มีความเกี่วข้องกัน)
การแปลงค่าเป็นสกุลเงินที่ใช้นำเสนองบการเงิน
1.สกุลเงินที่ใช้ในการดำเนินงานที่ไม่ใช่สกุลเงินของเศรษฐกิจที่มีภาวะเงินเฟ้อรุนแรง
การแปลงค่าผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของกิจการ ซึ่งมีสกุลเงินที่ใช้ในการดำเนินงานที่ไม่ใช่สกุลเงินของเศรษฐกิจที่มีภาวะเงินเฟ้อรุนแรง ให้เป็นสกุลเงินที่ใช้นำเสนองบการเงิน ซึ่งเป็นสกุลเงินที่แตกต่างออกไป ให้ใช้วิธีดังต่อไปนี้
1.1 สินทรัพย์และหนี้สินที่แสดงอยู่ในงบแสดงฐานะการเงินแต่ละงวด ซึ่งรวมถึงงบแสดงฐานะการเงินที่นำมาแสดงเปรียบเทียบ ให้แปลงค่าด้วยอัตราปิด ณ วันที่ของแต่ละงบแสดงฐานะการเงินนั้น
1.2 รายได้และค่าใช้จ่ายในแต่ละงบการเงิน ซึ่งแสดงกำไรหรือขาดทุนและกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น รวมถึงงบที่นำมาแสดงเปรียบเทียบด้วย ให้แปลงค่าด้วยอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่เกิดรายการ
1.3 ผลต่างของอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมด ให้รับรู้ในกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น ซึ่งผลต่างเกิดขึ้นจากการแปลงค่ารายการรายได้และค่าใช้จ่ายด้วยอัตราแลกเปลี่ยนของวันที่เกิดรายการ และการแปลงค่าสินทรัพย์และหนี้สินด้วยอัตราปิด การแปลงค่าสินทรัพย์สุทธิต้นงวดด้วยอัตราปิด ซึ่งต่างจากอัตราปิดเดิม ผลต่างของอัตราเปลี่ยนเปล่านี้จะไม่รับรู้ในกำไรหรือขาดทุน
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในอัตราแลกเปลี่ยนมีผลกระทบเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในปัจจุบันและในอนาคต ผลสะสมของผลต่างของอัตราแลกเปลี่ยนจะถูกแสดงแยกต่างหากจากส่วนของเจ้าของ จนกว่าการจำหน่ายหน่วยงานต่างประเทศนั้น
2.สกุลเงินของเศรษฐกิจที่มีภาวะเงินเฟ้อรุนแรง
การแปลงค่าผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของกิจการ ซึ่งมีสกุลที่ใช้ในการดำเนินงานเป็นสกุลเงินของเศรษฐกิจที่มีภาวะเงินเฟ้อรุนแรง ให้เป็นสกุลเงินที่ใช้นำเสนองบการเงิน ซึ่งเป็นสกุลเงินที่แตกต่างออกไป ให้ใช้วิธีดังต่อไปนี้
2.1 ทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ หนี้สิน รายการที่เป็นส่วนของเจ้าของ รายได้และค่าใช้จ่าย ซึ่งรวมถึงข้อมูลเปรียบเทียบ ให้แปลงค่าด้วยอัตราปิด ณ วันที่ของงบแสดงฐานะการเงินล่าสุด เว้นแต่
2.2 รายการนั้นได้มีการแปลงค่าเป็นสกุลเงินที่ไม่ใช่สกุลเงินของเศรษฐกิจที่มีภาวะเงินเฟ้อรุนแรง จำนวนเงินที่นำมาแสดงเปรียบเทียบให้รายงานด้วยจำนวนซึ่งแสดงเป็นปีปัจจุบันในงบการเงินของปีก่อนหน้า (คือไม่มีการปรับปรุงผลของการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาหรืออัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในภายหลัง)
สรุป
ก่อนที่บทความนี้จะจบลง เชื่อว่ามีผู้ประกอบการรับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอีกจำนวนไม่น้อย ที่เริ่มกังวลกับการบันทึกบัญชีอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เนื่องจากค่อนข้างมีความซับซ้อน ช่วงเวลาในการแปลงค่าเงินตราต่างประเทศเป็นเงินไทยก็ไม่คงที่ ส่วนใหญ่จึงนิยมใช้บริการทำบัญชี กับสำนักงานบัญชีที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้การบันทึกบัญชีอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ผู้ประกอบการมีเวลาพัฒนาธุรกิจของตนเองได้เต็มที่กว่าเดิม