ภาษีรับติดตั้งไฟฟ้า… เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ภาครัฐได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจตามพื้นที่ต่างๆ ในประเทศ ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ขยายเพิ่มขึ้นเช่นกัน จึงเป็นผลพลอยได้ทำให้ธุรกิจติดตั้งไฟฟ้ามีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย เป็นการเกื้อกูลกันทางธุรกิจ แต่ก็มักมีปัญหาเรื่องการเสียภาษีอยู่เสมอ
ทั้งนี้ หากจะกล่าวถึงกลุ่มธุรกิจรับติดตั้งไฟฟ้าในมุมของการเสียภาษี เมื่อมีรายได้ย่อมต้องเสีย ภาษีรับติดตั้งไฟฟ้า อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจติดตั้งไฟฟ้า ประกอบด้วย 3 ภาษีหลักคือ
– ภาษีเงินได้ แยกย่อยเป็น 1) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2) ภาษีเงินได้นิติบุคคล
– ภาษีมูลค่าเพิ่ม
– ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
โดยผู้ประกอบกิจการรับติดตั้งไฟฟ้า มีโอกาสเสียภาษีทั้ง 3 ภาษีนี้ หรือเสียแค่บางภาษี ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะต้องไปทำความรู้จักภาษีเหล่านี้กัน
ภาษีเงินได้
ภาษีเงินได้ มีอยู่ 2 แบบ คือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งเป็นภาษีรับติดตั้งไฟฟ้าที่เจ้าของกิจการต้องเลือกเมื่อเริ่มธุรกิจ เพราะจะมีผลทางด้านภาษีแตกต่างกัน ดังจะอธิบายได้ดังนี้
1.ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ธุรกิจติดตั้งไฟฟ้าที่รับเงินได้จากการรับเหมาเดินสายไฟ โดยผู้รับเหมาเป็นผู้จัดหาสัมภาระสำคัญนอกจากเครื่องมือ เช่น สายไฟ ปลั๊กไฟ เป็นต้น จะเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 7 หรือมาตรา 40(7) คือ เงินได้รูปแบบของค่ารับเหมาทั้งค่าแรงและค่าของ เวลายื่นภาษีมีสูตรคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคือ
(รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี = ภาษีที่ต้องจ่าย
– ค่าใช้จ่าย สำหรับธุรกิจติดตั้งไฟฟ้า สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 วิธี คือหักตามจริง แต่ต้องมีหลักฐานค่าใช้จ่าย ใบเสร็จต่างๆ หรือเลือกหักเหมา 60% โดยไม่ต้องมีหลักฐานค่าใช่จ่าย
– ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท และหากมีค่าลดหย่อนอื่นๆ สามารถนำมาใช้ได้
หลังจากนำรายได้หักลบด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว ให้นำรายได้สุทธิที่ได้มาคูณกับอัตราภาษีก้าวหน้าตั้งแต่ 5-35% พร้อมกับยื่นเสียภาษี 2 ช่วง คือ
– ภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) ให้นำรายได้ตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน ของปีภาษีนั้น มายื่นภาษีช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน ของปีที่มีเงินได้ หรือยื่นผ่านอินเตอร์เน็ตได้ภายในวันที่ 8 ตุลาคมของทุกปี
– ภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด.90) ให้นำรายได้ช่วงเดือนมกราคม – ธันวาคม ของปีภาษี ยื่นภาษีตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม ของปีถัดไป หรือยื่นผ่านอินเตอร์เน็ตภายในวันที่ 8 เมษายนของทุกปี
2.ภาษีเงินได้นิติบุคคล
สำหรับภาษีรับติดตั้งไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับภาษีเงินได้นิติบุคคล คือรูปแบบการทำธุรกิจในนามบริษัท โดยมีการจดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคล ดังนั้น เมื่อใดที่กิจการรับติดตั้งไฟฟ้าตัดสินใจประกอบกิจการในรูปแบบนิติบุคคค สิ่งที่ต้องปฏิบัติคือต้องทำบัญชี งบการเงิน ภาษีส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมสรรพากร พร้อมกับคำนวณภาษีจากกำไรสุทธิ เสียภาษีอัตรา 15-20% และยกเว้นภาษี 300,000 บาทแรก
โดยมีสูตรการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ (รายได้ – ค่าใช้จ่าย) = กำไรสุทธิ แล้วนำกำไรสุทธิที่ได้มาเปรียบเทียบตามอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความ “แนวทางวางแผน ภาษีนิติบุคคล”
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นภาษีรับติดตั้งไฟฟ้า สำหรับกิจการที่มีผลประกอบการเกิน 1.8 ล้านบาท โดยจะต้องยื่นแบบ ภ.พ.01 ขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วัน นับจากวันที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้าน และหลังจากนั้นจะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้จ้างงาน โดยมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่ต้องปฏิบัติเพิ่มเติมดังนี้
– ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากผู้จ้างงานให้ไปติดตั้งไฟฟ้า และออกใบกำกับภาษีให้กับผู้จ้างงานหลังจากได้รับค่าบริการหรือส่งมอบงานแล้ว
– ขอใบกำกับภาษีทุกครั้งที่มีการซื้อ หรือรายจ่ายที่เกี่ยวกับกิจการติดตั้งไฟฟ้า เพื่อนำภาษีซื้อไปหักกับภาษีขาย หรือเครดิตภาษีขายในเดือนถัดไปได้ เช่น ค่าเช่า ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าวัสดุอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เครื่องไม้เครื่องมือ ที่ซื้อเข้ามาเพื่อใช้ในงานบริการติดตั้งไฟฟ้า
– มีหน้าที่จัดทำรายงานสินค้าและวัตถุดิบ รายงานภาษีซื้อ ภาษีขาย และยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ.30 ภายในวันที่ 15 ของทุกเดือนแก่กรมสรรพากร โดยสามารถใช้บริการรับทำบัญชีจากสำนักงานบัญชีได้ พร้อมบริการยื่นแบบฯ ให้ด้วย
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นภาษีรับติดตั้งไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการในนามนิติบุคคลเท่านั้น มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย เมื่อมีการจ่ายค่าใช้จ่ายบริการตามประเภทและอัตราที่กฎหมายกำหนดเพื่อนำส่งสรรพากร และกิจการรับติดตั้งไฟฟ้าจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายจากนิติบุคคลที่จ้างงานในอัตรา 3% ก่อนจ่ายเงินค่าจ้างให้กับกิจการ
ทั้งนี้ ในการออกใบกำกับภาษีจะมีทั้งแบบที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามกรณีที่แตกต่างกันคือ
1.ออกใบกำกับภาษีหรือใบแจ้งหนี้เป็นค่าสินค้าพร้อมค่าบริการติดตั้งไฟฟ้ารวมเป็นยอดเดียวกัน จะถือเป็นการขายสินค้า และไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย
2.ออกใบกำกับภาษีหรือใบแจ้งหนี้ โดยแยกราคาสินค้าและค่าบริการติดตั้งไฟฟ้าแยกออกจากกัน จะถูกหักภาษี ณที่จ่าย ในอัตรา 3% เฉพาะในส่วนของค่าบริการเท่านั้น
สรุป
จากบทความข้างต้น จะเห็นได้ว่าภาษีรับติดตั้งไฟฟ้าที่กิจการต้องเจอ อาจมีทั้ง 3 ภาษี หรือเสียแค่ภาษีเดียว ขึ้นอยู่กับขนาดธุรกิจของกิจการ หากทำเป็นธุรกิจขนาดเล็กสามารถทำเพียงไม่กี่คนได้ ไม่ต้องรับพนักงานเข้ามาปฏิบัติงามอยู่ในความรับผิดชอบของกิจการ ก็มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องจดทเบียนเป็นนิติบุคคล
แต่ถ้าหากธุรกิจเริ่มมีรายรับเข้ามาสูงเกิน 1.8 ล้านบาท ไม่ว่ากิจการจะดำเนินการในนามบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ย่อมมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และเสียภาษี 7% ส่งให้กับกรมสรรพากรทุกเดือน ส่วนภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นหน้าที่ของกิจการติดตั้งไฟฟ้าที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเท่านั้น มีหน้าที่หักภาษีไว้ส่วนหนึ่งก่อนจ่ายเงินให้กับผู้รับ และถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเมื่อได้รับเงินจากผู้ว่าจ้างที่เป็นนิติบุคคล